การใช้แคลเซียมคาร์บอเนตในอุตสาหกรรมยาง
ในอุตสาหกรรมยางใช้แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นตัวเติม (Filler)
ซึ่งใช้มากในการผลิตยางรถยนต์ ถุงมือยาง
และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางชนิดอื่นๆ เช่น ยางในและยางนอกรถยนต์ รถจักรยานยนต์
รถจักรยาน รองเท้า รวมทั้งสายพานสำหรับลำเลียงขนถ่ายสินค้า
อุตสาหกรรมยาง
ใช้แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นตัวเติมในผลิตภัณฑ์ยางที่ไม่ใช่สีดำ เนื่องจากแคลเซียมคาร์บอเนตจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ยาง
โดยที่ความแข็งแรงจะเพิ่มขึ้นตามขนาดที่เล็กลงของผงแคลเซียมคาร์บอเนตที่ใช้ แคลเซียมคาร์บอเนตชนิดตกตะกอน(Precipitated
CaCo3: PCC) ชนิดเคลือบผิวด้วยกรดไขมันต่างๆ มีสมบัติเหมาะสมกับการใช้เป็นตัวเติมในยางเพราะมีการกระจายตัวดีและช่วยทำ
ให้กรรมวิธีการผลิตง่ายขึ้น
การศึกษาอิทธิพลของปริมาณสารตัวเติมแคลเซียมคาร์บอเนต
ที่มีผลต่อสมบัติทางกายภาพของยางฟองน้ำชนิดตันที่เตรียมได้จากน้ำยางธรรมชาติเพื่อลดต้นทุน
โดยใช้น้ำยางข้นชนิดแอมโมเนียสูงและสารตัวเติม 50% แคลเซียมคาร์บอเนตในปริมาณ
0 , 5 , 10 , 20 และ 30 phr สำหรับกระบวนการเตรียมยางฟองน้ำนั้นใช้วิธีการเตรียมแบบดันลอป
โดยมีลำดับการเติม CaCO3 ก่อนและหลังการเติม K–oleate
พบว่า วิธีการเติม CaCO3 ก่อนการเติม K–oleate
ช่วยทำให้สมบัติโดยรวมของยางฟองน้ำดีขึ้นแต่ตัวอย่างยางฟองน้ำที่ได้มีผิวหน้าของตัวอย่างยางฟองน้ำไม่เรียบเนียน
มีลักษณะเป็นหลุมตื้นๆ ลักษณะฟองยางไม่สม่ำเสมอและยางฟองน้ำมีการยุบตัว
และเมื่อปริมาณสารตัวเติมแคลเซียมคาร์บอเนตเพิ่มขึ้นตัวอย่างยางฟองน้ำมีการยุบตัวมากขึ้นเห็นได้ชัดที่ปริมาณ
CaCO3 10 , 20 และ 30 phr สำหรับวิธีการเติม
CaCO3 หลังการเติม K–oleate ตัวอย่างยางฟองน้ำที่เติม
CaCO3 20 phr และ 30 phr ตัวอย่างที่ได้ค่อนข้างแข็ง
หยาบและมีการยุบตัว ขณะที่การเติม CaCO3 ที่ปริมาณ 5 และ 10 phr จะได้ตัวอย่างยางฟองน้ำที่มีลักษณะทั่วไปค่อนข้างดีกล่าวคือ
ผิวหน้าของตัวอย่างยางฟองน้ำเรียบเนียนและลักษณะฟองยางค่อนข้างสม่ำเสมอ
เมื่อพิจารณาจากผลการทดสอบอื่นจะเห็นได้ว่า ตัวอย่างยางฟองน้ำที่เติม CaCO3
10 phr มีสมบัติความแข็งและดัชนีความแข็งเชิงกดดีกว่าตัวอย่างยางฟองน้ำที่เติม
CaCO3 5 phr ขณะที่ตัวอย่างยางฟองน้ำที่เติม CaCO3 5
phr มีสมบัติความทนแรงอัดซ้ำคงที่
การยุบตัวเนื่องจากแรงกดและการบ่มเร่งดีกว่าตัวอย่างยางฟองน้ำที่เติม CaCO3
10 phr และเมื่อนำผลการทดสอบที่ได้มาเปรียบเทียบกับมาตรฐาน มอก. 1425-2540
พบว่ายางฟองน้ำที่เติม CaCO3 5 phr จะมีสมบัติที่ผ่านตามมาตรฐาน
ดังนั้นจากงานวิจัยนี้การเลือกใช้วิธีการเติม CaCO3 หลังการเติม
K–oleate จะได้ตัวอย่างยางฟองน้ำที่มีลักษณะทั่วไปค่อนข้างดี
และเพื่อให้สามารถนำยางฟองน้ำไปใช้งานได้หลากหลาย จึงพิจารณาจากสมบัติความทนแรงอัดซ้ำคงที่ การยุบตัวเนื่องจากแรงกด และการบ่มเร่งด้วยความร้อน
สรุปได้ว่าการเติม CaCO3 ปริมาณ 5 phr จึงเป็นสูตรที่เหมาะสำหรับใช้ในการเตรียมยางฟองน้ำ
จากการคำนวณต้นทุนราคาวัตถุดิบพบว่าการผลิตยางฟองน้ำ 1 กิโลกรัม
ถ้าใช้สารตัวเติม 50% CaCO3 ปริมาณ 5 phr ต้นทุนราคาวัตถุดิบจะลดลงประมาณ 3.37 บาทต่อกิโลกรัม
จากการทดสอบการทำงานของเครื่องต้นแบบพบว่า
เครื่องต้นแบบสามารถผลิตยางฟองน้ำได้แต่ลักษณะทั่วไปของยางฟองน้ำยังไม่ดีนักแต่เมื่อนำตัวอย่างยางฟองน้ำไปทดสอบสมบัติทางกายภาพพบว่า
ตัวอย่างยางฟองน้ำที่เตรียมด้วยเครื่องต้นแบบ แล้วจึงนำยางฟองน้ำมาเติม 50%
ZnO และ 12.5% SSF ภายหลังนั้นยางฟองน้ำที่ได้มีสมบัติทางกายภาพที่ค่อนข้างดีแต่อาจต้องปรับปรุงเกี่ยวกับสมบัติลักษณะทั่วไป
นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ยางฟองน้ำหลายชนิดเพื่อการนำใช้ประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้นและตามความต้องการของตลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น